การเพิกถอนนิติกรรมที่ถูกฉ้อฉล ทำอย่างไรได้บ้าง

เพิกถอนนิติกรรมที่ถูกกลฉ้อฉล

ทำอย่างไรได้บ้าง

การเพิกถอนนิติกรรมที่ถูกฉ้อฉล ทำอย่างไรได้บ้าง

          การทำนิติกรรมหรือสัญญาอะไรสักอย่าง ผู้ที่ทำจะต้องมีเจตนาที่จะผูกพันตามที่ตกลงกัน ไม่ถูกกลฉ้อฉล ข่มขู่ หรือสำคัญผิดที่จะส่งผลต่อความสมบูรณ์ของนิติกรรมหรือสัญญานั้น วันนี้เราจะมาดูกันในเรื่องนิติกรรมที่ทำขึ้นเพราะถูกกลฉ้อฉลว่าคืออะไร และเราสามารถแก้ไขมันได้ยังไงบ้าง

นิติกรรมที่ถูกกลฉ้อฉล คืออะไร

            กลฉ้อฉล คือ การใช้กลอุบายหรือการแสดงข้อความที่เป็นเท็จ เพื่อหลอกลวงให้อีกฝ่ายหลงเชื่อและยอมทำอะไรบางอย่าง ดังนั้น นิติกรรมที่ถูกกลฉ้อฉลก็คือ การที่อีกฝ่ายใช้กลอุบายหรือแสดงข้อความเท็จเพื่อหลอกลวงให้เราหลงเชื่อและยอมเข้าทำนิติกรรมนั้น และกลฉ้อฉลนั้นจะต้องถึงขนาดที่ถ้าไม่ถูกหลอก ก็จะไม่เข้าทำนิติกรรมนั้นด้วยครับ

เช่น – นาย A ถูกหลอกให้โอนที่ให้นาย B เพราะนาย B หลอกว่าได้โอนเงินค่าที่ดินเข้าบัญชีภรรยาของ A แล้ว
       – นาย ข. เสนอขายที่ดินที่มีไฟฟ้าแรงสูงผ่านแก่นาย ก. แต่ชี้ที่ดินแปลงอื่นที่ไม่มีสายไฟฟ้าแรงสูงให้นาย ก. ดูเพราะนาย ก. ไม่ต้องการให้มีอะไรผ่านที่ดิน นาย ก. หลงเชื่อจึงตกลงซื้อ

ผลของนิติกรรมที่ถูกฉ้อฉล

           หากทำนิติกรรมไปเพราะถูกกลฉ้อฉล ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 กำหนดเอาไว้ว่า การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ ซึ่งโมฆียะก็คือสมบูรณ์นะครับ คือถ้าทำนิติกรรมอะไรไปแล้วนิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะ นิติกรรมนั้นก็สมบูรณ์ใช้ได้จนกว่าจะถูกบอกล้างหรือง่าย ๆ ก็คือ บอกยกเลิกนั่นเองครับ

การเพิกถอนนิติกรรมที่ถูกฉ้อฉล

            นิติกรรมที่ถูกกลฉ้อฉลจะตกเป็นโมฆียะ คือสมบูรณ์จนกว่าจะถูกบอกล้าง หากเราต้องการจะเพิกถอนนิติกรรมนั้นก็สามารถทำได้ด้วยการ “บอกล้าง” โดยกฎหมายกำหนดให้แสดงเจตนาบอกล้างนั้นแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งผลของการบอกล้างคือนิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ คือ เสียเปล่ามาตั้งแต่ต้น เหมือนไม่เคยทำนิติกรรมหรือสัญญานั้นมาก่อนเลยนั่นเองครับ

              ซึ่งส่วนใหญ่ วิธีที่ทนายความหรือนักกฎหมายใช้ในการบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะก็คือการส่งหนังสือหรือ Notice ส่งให้คู่กรณีโดยมีเนื้อหาว่า ขอบอกล้างนิติกรรมที่ได้ทำไปให้ตกเป็นโมฆะครับ 

ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ถูกกลฉ้อฉล

กรณีฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ถูกฉ้อฉลนี้จริง ๆ สามารถทำได้ 2 วิธี
          1. บอกล้างโมฆียะแล้ว

กรณีที่เรารู้ว่าถูกกลฉ้อฉลให้ทำนิติกรรม เราสามารถส่งหนังสือแสดงเจตนาบอกล้างโมฆียะกรรมนั้นได้เลย ซึ่งการบอกล้างนั้นทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะและเรียกคืนสิ่งที่ได้เสียไปจากการทำนิติกรรมนั้น แต่หากคู่กรณีไม่ยอมคืน จึงฟ้องคู่กรณีโดยอ้างว่ามีการบอกล้างโมฆียะกรรมให้ตกเป็นโมฆะแล้ว จึงมาฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมและเรียกสิ่งที่เสียไปคืน
          2.ไม่ได้บอกล้างโมฆียะ

          กรณีไม่ได้บอกล้างโมฆียะ เราสามารถยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ถูกกลฉ้อฉลได้เลย ซึ่งการฟ้องเพิกถอนดังกล่าว กฎหมายถือว่าเป็นการบอกล้างโมฆียะกรรมไปในตัวแล้ว จึงขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมและเรียกสิ่งที่ต้องเสียไปจากการทำนิติกรรมคืนได้นั่นเอง

ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ถูกกลฉ้อฉล VS ฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉล

          เราขอแวะมาให้เกร็ดความรู้ที่หลายคนอาจจะสับสนหรือเข้าใจผิด การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ถูกกลฉ้อฉล กับ การฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉล เป็นคนละเรื่องกันเลยนะครับ การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ถูกกลฉ้อฉลเป็นเรื่องที่ทำนิติกรรมไปเพราะถูกหลอกตามที่ผมได้เล่าไปข้างต้นเลย
         แต่การเพิกถอนการฉ้อฉลเป็นกรณีที่ลูกหนี้ทำนิติกรรมอะไรบางอย่างไปซึ่งการทำนิติกรรมนั้นทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ หรือง่าย ๆ ก็คือการโอนทรัพย์สินหนีไม่ให้เจ้าหนี้มาบังคับนั่นเองครับ

Info - การเพิกถอนนิติกรรมที่ถูกฉ้อฉล ทำอย่างไรได้บ้าง

อ่านบทความเพิ่มเติม คดีแพ่ง คลิก!

ติดต่อ ปรึกษาทนายคดีแพ่งหรือ จ้างทนายคดีแพ่ง คลิก!

บทความกฎหมายล่าสุด