ข้อควรรู้ในการทำสัญญากู้ยืมเงิน

การทำสัญญากู้ยืมเงิน

สัญญากู้ยืมเงินถือได้ว่าเป็นสัญญาหนึ่งที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน (และเป็นสัญญาหนึ่งที่พบกันในศาลบ่อย ๆ เช่นเดียวกัน) หลายคนอาจอยู่ในฐานะผู้ให้กู้ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คน อาจอยู่ในฐานะของผู้กู้ แต่ไม่ว่าคุณจะกำลังอยู่ในสถานะใด บทความนี้จะทำให้คุณไม่เสียเปรียบเมื่อต้องทำสัญญากู้ยืมเงิน

1. หลักฐานการกู้ยืม

การกู้ยืมที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมิฉะนั้นจะฟ้องบังคับคดีไม่ได้ คือ เมื่อมีการกู้ยืมเงินกันเกินกว่า 2,000 บาท ขึ้นไป (ถ้า 2,000 บาท พอดียังไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องบังคับได้)
Tip: หลักฐานการกู้นี้จะอยู่ในรูปแบบใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือเท่านั้น และการกู้ยืมเงินผ่านทางไลน์หรือเฟสบุคก็ถือเอาแชทนั้นเป็นการแสดงเจตนาและเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เช่นเดียวกัน (แต่ไลน์หรือเฟสบุคนั้นจะต้องระบุตัวผู้กู้ได้ชัดเจน)

2. เนื้อหาในสัญญากู้

สัญญากู้นั้นควรมีการระบุวันที่ทำสัญญา วันที่รับเงิน ชื่อผู้กู้และผู้ให้กู้ ให้ชัดเจน รวมถึงควรมีการเขียนจำนวนเงินที่กู้ลงไปตั้งแต่ขณะทำสัญญา (อย่าเว้นว่างไว้กรอกทีหลัง) หากในการกำหนดจำนวนเงินมีตัวอักษรกำกับ ตัวอักษรนั้นจะต้องมีจำนวนเท่ากับตัวเลข เพราะหากมีตัวอักษรและตัวเลขไม่ตรงกัน และไม่ศาลไม่อาจทราบเจตนาของคู่สัญญาได้ ศาลจะยึดเอาตัวอักษรเป็นสำคัญ (ป.พ.พ. มาตรา 12)

3. ดอกเบี้ยเงินกู้

ดอกเบี้ยเงินกู้นั้นหากจะกำหนดไว้ในสัญญาต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี (ยกเว้นเป็นการกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน) หากกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ดอกเบี้ยนั้นตกเป็นโมฆะทั้งหมด (แต่ยังคงต้องชำระต้นเงินอยู่) แต่เดิมมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้สัญญากู้ยืมจะกำหนดดอกเบี้ยเกินอัตรา แต่หากผู้กู้ยังชำระดอกเบี้ยนั้น ผู้กู้จะเรียกส่วนที่ชำระไปแล้วคืนไม่ได้ และจะเรียกให้นำไปหักกับต้นเงินก็ไม่ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ศาลฎีกาวินิจฉัยใหม่ว่า แม้ผู้กู้จะเรียกเอาดอกเบี้ยที่ชำระเกินอัตราไปคืนไม่ได้ แต่สามารถให้นำดอกเบี้ยนั้นไปหักเงินต้นแทนได้
Tip: หากมิได้กำหนดในสัญญากู้ยืมเงินไว้กฎหมายก็ยังให้ผู้ให้กู้เรียกจากผู้กู้ได้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี

4. การลงลายมือชื่อ

แม้กฎหมายจะกำหนดไวเพียงว่าจะต้องมีลายมือชื่อผู้กู้เป็นสำคัญเพื่อเป็นหลักฐานแห่งการกู้ แต่ในทางปฏิบัตินั้นควรจะลงลายมือชื่อของผู้กู้และผู้ให้กู้ทั้งสองฝ่ายเพื่อเป็นหลักฐานแห่งการกู้ที่ชัดเจน กรณีที่ไม่อาจลงลายมือชื่อได้ ก็อาจใช้เป็นลายพิมพ์นิ้วมือพร้อมพยานรับรอง 2 คนแทน
Tip: ผู้กู้ไม่ควรลงลายมือชื่อในกระดาษหรือแบบฟอร์มกู้เงินเปล่าที่ยังไม่ได้กรอกข้อความโดยเด็ดขาด

5. การค้ำประกัน

สำหรับตัวผู้ให้กู้แล้ว หากการกู้นั้นมีหลักประกันไม่ว่าจะเป็นการค้ำประกันด้วยบุคคลหรือด้วยทรัพย์สินก็ตาม ย่อมทำให้การกู้นั้นมีโอกาสที่จะเป็นหนี้เสียได้น้อยกว่าการกู้ที่ไม่มีหลักประกัน ดังนั้น หากพิจารณาแล้วว่าตัวผู้กู้มีโอกาสไม่ชำระหนี้ ผู้ให้กู้ก็ควรเรียกหลักประกันจากผู้กู้
Tip: เมื่อผู้กู้ผิดนัด ผู้ให้กู้จะต้องมีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ค้ำประกันทราบภายใน 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด มิฉะนั้นผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนได้

อ่านบทความเพิ่มเติม คดีแพ่ง คลิก!

ติดต่อ ปรึกษาทนายคดีแพ่งหรือ จ้างทนายคดีแพ่ง คลิก!

บทความกฎหมายล่าสุด