อ้างไม่รู้ข้อเท็จจริงกับอ้างสำคัญผิด ต่างกันอย่างไร

การอ้างไม่รู้ข้อเท็จจริงกับการอ้างสำคัญผิด แตกต่างกันอย่างไร

กฎหมายลักษณะอาญา มีลักษณะเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการกระทำความผิดและโทษ ในการพิจารณาความรับผิดทางอาญาจึงจำเป็นต้องวินิจฉัยตามโครงสร้างความรับผิดอาญา โดยจะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบภายนอกความผิด องค์ประกอบภายในความผิด เหตุยกเว้นความรับผิด เหตุยกเว้นโทษและเหตุลดโทษ ในส่วนขององค์ประกอบภายในความรับผิด จะต้องพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยเจตนาหรือกระทำโดยประมาท ในที่นี้จะพิจารณาถึงประกอบภายนอกของความผิด

การอ้างไม่รู้ข้อเท็จจริง

หลักความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด เป็นกรณีที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้มีการกระทำ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดทางอาญา ดังนั้นจะกล่าวว่าผู้กระทำต้องการหรือคาดหมายว่าผลแห่งการกระทำนั้นย่อมเกิดมีขึ้นมิได้ตามหลักทางกฎหมายอาญาที่ว่าไม่รู้ ไม่มีเจตนา เมื่อการกระทำนั้นไม่ครบองค์ประกอบความรับผิด ผู้กระทำจึงไม่จำต้องรับผิดทางอาญา

การอ้างสำคัญผิดในข้อเท็จจริง

หลักความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุยกเว้นความรับผิด เป็นกรณีที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีการกระทำที่ครบองค์ประกอบความรับผิดทางอาญาแล้ว โดยกระการทำนั้นอยู่ภายใต้บังคับแห่งอำนาจจิตใจและมีส่วนรู้สำนึกว่าการกระทำดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดอาญา อีกทั้งต้องการจะให้ผลแห่งการกระทำนั้นเกิดขึ้นหรือเล็งเห็นได้ว่าการกระทำดังกล่าว อันเนื่องมาจากความสำคัญผิดว่าตนเองมีอำนาจกระทำ กฎหมายจึงยังคงคุ้มครองผู้กระทำให้เกิดผลไปตามเจตนาที่เข้าใจ นั้นคือ ผู้กระทำจะไม่ต้องรับผิดทางอาญา ตามหลักทางกฎหมายอาญาที่ว่า รู้เท่าใด มีเจตนาเท่านั้น และไม่เกินความเป็นจริง

จากดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าความแตกต่างระหว่างความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด และความสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ได้แก่ ความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดเป็นการพิจารณาถึงเจตนาภายในใจของผู้กระทำ โดยผู้กระทำนั้นไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนกระทำนั้นเป็นความรับผิดในทางอาญา อันจะส่งผลให้การกระทำของผู้กระทำขาดองค์ประกอบความรับผิด ผู้กระทำจึงไม่ต้องรับผิดในทางอาญา แต่ในส่วนความสำคัญผิดในข้อเท็จจริง เป็นกรณีที่ผู้กระทำได้กระทำครบองค์ประกอบความรับผิดแล้ว กล่าวคือ รู้ว่าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นความรับผิดในทางอาญาและยังคงต้องการที่จะให้ผลแห่งการกระทำนั้นเกิดขึ้นหรือเล็งเห็นผลในการกระทำ แต่เหตุที่ผู้กระทำนั้นได้กระทำไปอันเนื่องมาจากความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่ามีอำนาจกระทำได้หรือจะมีกฎหมายยกเว้นโทษหรือลดโทษให้ ซึ่งเป็นการพิจารณาโครงสร้างถัดไปจากการพิจารณาองค์ประกอบความรับผิดทางอาญา

อย่างไรก็ตาม แม้จากดังกล่าวมาข้างต้น ความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด และความสำคัญผิดในข้อเท็จจริง จะเกิดความแตกต่างกันอยู่หลายประการ ทั้งนี้หากการกระทำทั้งสองกรณีเกิดจากการกระทำประมาท ผู้กระทำคงจำต้องรับผิดในฐานประมาทอยู่เช่นกัน

ตัวอย่าง หากผู้กระทำพิจารณาให้ดีว่าสิ่งที่อยู่ในพุ่งไม้เป็นมนุษย์ไม่ใช่สุมัขป่า ผู้กระทำก็คงไม่ยิงปืนเข้าไปในพุ่งไม้อันส่งผลให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย แม้ผู้กระทำจะอ้างว่าไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดในส่วนของคำว่าผู้อื่น แต่ความไม่รู้ดังกล่าวเกิดจากความประมาทของผู้กระทำ ผู้กระทำจึงยังคงต้องรับผิดต่อผู้ถูกกระทำในความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

บทความกฎหมายล่าสุด